กลุ่มข่าว : สังคมและคุณภาพชีวิต
-
ครม. รับหลักเกณฑ์เร่งรัดแก้ปัญหาสัญชาติกว่า 4.8 แสนคน ลดขั้นตอนมอบสัญชาติ
ผู้โพสต์ : [สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดยโสธร] ทั่วไป
วันที่ 31 ต.ค. 2567 (16:42 น.)นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานว่าที่ประชุม ครม. เห็นชอบกรอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนออนุมัติหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติ และสถานะให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาในอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ซึ่งรวมแล้วมีราว 4.8 แสนคน โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะใช้ทดแทนหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 เพื่อให้ได้รับสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย (ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวร) หรือสัญชาติไทยอย่างรวดเร็ว โดยสาระสำคัญในประเด็นนี้ คือการปรับหลักเกณฑ์ และการลดขั้นตอนการทางราชการ เช่น ผู้ยื่นสามารถรับรองตนเอง การลดขั้นตอนหรือยกเลิก
การพิจารณาผ่านคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการต่างๆ และการมอบอำนาจผู้ให้อนุญาตสัญชาติไทยและหนังสือรับรองใบถิ่นที่อยู่แยกกันระหว่างพื้นที่ กทม. และนอกเขต กทม. โดยกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาอยู่ไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรของผู้อพยพมาอยู่ไทยเป็นเวลานาน นั้น กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้สำรวจจัดทำทะเบียนประวัติแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 - 2554 โดยนายจิรายุ ย้ำว่า กรอบหลักเกณฑ์ดังกล่าวนั้นภาครัฐได้รับฟังความคิดเห็น และศึกษาประเด็นปัญหาอย่างรอบคอบ การแก้ไขปัญหาดังกล่าว มีข้อดีคือ จะช่วยเสริมสร้าง
ความมั่นคงในประเทศ ช่วยเหลือให้พลเมืองไทยที่ตกสำรวจมีสิทธิเข้าถึงการรักษาพยาบาล ผู้ที่ได้รับสถานะก็จะช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ สามารถเดินทางไปทำงาน ทำธุรกรรมทางการเงิน ได้รับโอกาสในชีวิตมากขึ้น เป็นการดำเนินการตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล
ปัญหากลุ่มคนไม่มีสัญชาติไทย
กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้สำรวจจัดทำทะเบียนประวัติของกลุ่มคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
การสำรวจตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2554 พบว่ามีกลุ่มคนไร้สัญชาติคงเหลืออยู่ทั้งสิ้น ประมาณ 4.8 แสนราย ประกอบด้วย ชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน จำนวน 19 กลุ่ม
(อาทิ บุคคลบนพื้นที่สูงและชุมชนบนพื้นที่สูง ผู้ที่ตกหล่นจากการสำรวจประชากร) ซึ่งมีประมาณ 215,000 คน กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของชนกลุ่มน้อย 29,000 คน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของบุคคลที่ไม่มีสถานะตามทะเบียนประมาณ 113,000 คน
โดย ดร.นฤมล อรุโณทัย สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ (2018) ได้กล่าวถึงปัญหาคนที่ไม่มีสัญชาติ ในบทความ ‘ปัญหาคนไร้สัญชาติ ซับซ้อนแต่ไม่ไร้ความหวัง’ ว่าคนไร้สัญชาติจะไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานหลายอย่าง ปัจจุบันมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้สิทธิบางส่วน เช่น ในด้านการศึกษา มีมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2548 รัฐมีนโยบายว่าเด็กสามารถเข้าเรียนโดยไม่ต้องมีเอกสารหลักฐาน และมีการอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่อหัว ให้ในระดับประถมศึกษาเท่ากับเด็กสัญชาติไทย ในด้านสาธารณสุขมีมติคณะรัฐมนตรีในปี 2553 และ 2558 ให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบการรักษาพยาบาลสำหรับคนที่มีปัญหาสถานะ แต่จำกัดเฉพาะผู้มีเลขประจำตัว 13 หลักแล้วเท่านั้น และยังมีข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งด้านสิทธิการศึกษาที่ในทางปฏิบัติ บางโรงเรียนก็ไม่มั่นใจไม่อยากรับเด็กกลุ่มนี้ ด้านการเดินทางออกนอกพื้นที่อำเภอ จังหวัด เพื่อการทำงานหรือเพื่อเรียนต่อ ถ้าไม่มีบัตรประชาชน
ก็จะถูกจำกัด ทำให้เสียโอกาสหลายด้าน ด้านการทำงาน มีนายจ้างน้อยคนที่จะจ้างคนที่ไม่มีบัตรประชาชน หรือเป็นจ้างการทำงานที่ต่ำต้อย งานสกปรกหรืออันตราย ทำให้โอกาสในชีวิตของพวกเขาน้อยลง
รัฐบาลไทยมีความพยายามในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาบุคคลไร้สัญชาติมาโดยตลอด แต่เนื่องจาก
มีความซับซ้อนในเชิงระเบียบกฎหมายหลายฉบับจึงใช้ระยะเวลายาวนาน โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
26 มกราคม 2564 เรื่องหลักเกณฑ์การกำหนดสถานะและสิทธิของบุคคลที่อพยพเข้ามาและอาศัยอยู่มานาน และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 ได้ร่างกฎกระทรวงกําหนดฐานะและเงื่อนไขการอยู่ในราชอาณาจักรไทยของผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ซึ่งไม่ได้สัญชาติไทย พ.ศ. .. เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา ลดขั้นตอนมอบสัญชาติให้กับบุคคลเหล่านี้
เมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา เกิดกรณีความไม่เข้าใจต่อกรณีอินฟลูเอ็นเซอร์ในช่องทางโซเชียลมีเดีย แจ้งว่าเด็กชาวเมียนม่าได้สัญชาติไทยอัตโนมัติ ซึ่ง นายวราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีการชี้แจงไปแล้วว่า ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง เด็กไม่ว่าจะสัญชาติใดจะต้องได้รับการดูแลคุ้มครองตาม อนุสัญญาสิทธิเด็ก ข้อที่ 22 ไม่ได้ให้สัญชาติเด็กต่างชาติ และย้ำว่า คุ้มครองดูแลเด็กเท่านั้น
ความคืบหน้า
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร เพื่อใช้ทดแทนหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 ทั้งนี้ เพื่อให้บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร [ชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ (กลุ่มเป้าหมาย 19 กลุ่ม)] ที่รอการพิจารณากำหนดสถานะในปัจจุบัน จำนวน 483,626 คน ให้ได้รับสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย (ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวร) หรือสัญชาติไทยอย่างรวดเร็ว โดยมีการปรับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาสถานะของบุคคลในประเด็นต่าง ๆ
ซึ่งสภาความมั่นคงแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบแล้ว โดยที่ผ่านมามีปัญหาอุปสรรคสำคัญ 4 ประการ ดังนี้
1) ปัญหาเรื่องขั้นตอนการดำเนินงานในการสอบสวนผู้ยื่นคำขอและพยานบุคคล
2) การตรวจสอบพยานและหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ใช้ระยะเวลานาน
3) การพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการและอนุกรรมการใช้ระยะเวลานาน
4) บุคลากรที่ทำหน้าที่ดังกล่าวมีความขาดแคลน
สมช. จึงได้เสนอปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติ และสถานะให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาในอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ตามตารางการเปรียบเทียบหลักเกณฑ์มติ ครม. เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2564 และหลักเกณฑ์ที่เสนอขอปรับปรุง ตามรายละเอียดในตาราง
กลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในราชอาณาจักร
หลักเกณฑ์เดิม
(มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564) หลักเกณฑ์ที่เสนอขอปรับปรุง
กลุ่มเป้าหมาย
1.บุคคลที่ได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติในอดีตจนถึงปี พ.ศ. 2542
2. บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรภายในปี พ.ศ. 2542 กลุ่มที่อพยพเข้ามาและอาศัยอยู่มานาน (ชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ 19 กลุ่ม) คงกลุ่มเป้าหมายเดิม
คุณสมบัติ
1. หลักเกณฑ์ทั่วไป
1) มีชื่อในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติและมีเลขประจำตัว 13 หลัก
2) มีภูมิลำเนาและอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทย ติดต่อกันต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 15 ปี นับถึงวันที่ยื่นคำขอมีสถานะเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย
(ตรวจสอบพฤติการณ์ด้านความมั่นคงโดยหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจสันติบาล เป็นต้น ซึ่งหลักเกณฑ์นี้กำหนดไว้ในคู่มือปฏิบัติงานของกรมการปกครอง มท.)
3) มีความจงรักภักดีต่อประเทศไทยและเลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
4) มีความประพฤติดี และไม่มีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนดไม่เคยรับโทษคดีอาญา ยกเว้นความผิดโดยประมาทหรือลหุโทษ
5) หากได้รับโทษคดีอาญา ต้องพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันที่ยื่นคำร้อง เว้นแต่โทษในคดียาเสพติดฐานเป็นผู้ค้าหรือผู้ผลิตให้ขยายระยะเวลาจาก 5 ปี เป็นไม่น้อยกว่า 10 ปี
6) ประกอบอาชีพสุจริตโดยมีใบอนุญาตทำงานหรือหนังสือรับรองจากนายอำเภอท้องที่ยกเว้นเด็กที่มีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ พระภิกษุ สามเณร และนักบวชในศาสนาอื่น ซึ่งต้องปฏิบัติกิจมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และคนพิการ (แล้วแต่กรณี)
2. หลักเกณฑ์เฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มบุคคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลานาน กลุ่มเด็กที่ไม่ได้เกิดในราชอาณาจักร กลุ่มคนไร้รากเหง้า และกลุ่มบุคคลที่ทำให้คุณประโยชน์แก่ประเทศไทย
* การอนุญาตผ่านคณะอนุกรรมการพิจารณาให้สัญชาติไทย และให้สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย ระดับจังหวัด)/กรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการพิจารณาให้สัญชาติไทยและให้สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและนายกรัฐมนตรี เป็นผู้พิจารณาอนุญาต ปรับหลักเกณฑ์ให้ผู้ยื่นคำขอยืนยันและรับรองคุณสมบัติของตนเองเพื่อเร่งรัดคุ้มครองสิทธิของประชาชนให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว หากมีคุณสมบัติ ดังนี้
(*ปรับ ให้ผู้ขอยืนยันและรับรองคุณสมบัติของตนเองแทนการสอบสวนผู้ขอและพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือและแทนการส่งไปตรวจสอบประวัติอาชญากรรมและตรวจสอบพฤติการณ์ด้านความมั่นคงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)
1) มีความจงรักภักดีต่อประเทศไทยและเลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2) มีความประพฤติดี ไม่มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ไม่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา ถึงที่สุดของศาลให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป หากเคยได้รับโทษดังกล่าว ต้องพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันที่ยื่น
คำร้อง เว้นแต่โทษในคดียาเสพติดฐานเป็นผู้ค้าหรือผู้ผลิต ต้องพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี ยกเว้นสำหรับเด็กที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี บริบูรณ์
3) ไม่สามารถกลับประเทศต้นทาง/ไม่มีจุดเกาะเกี่ยวใด ๆ กับประเทศต้นทาง
4) ไม่ปรากฏหลักฐานการมีและใช้สัญชาติอื่น
- ยกเลิกหลักเกณฑ์เฉพาะกลุ่ม –
การอนุญาต
1.ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) ผู้อำนวยการสำนักกิจการความมั่นคงภายใน เป็นผู้พิจารณาอนุญาตและออกหนังสือรับรองการได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
2. ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาจังหวัดอื่นนอกเขต กทม. นายอำเภอเป็นผู้พิจารณาอนุญาตและออกหนังสือ รับรองการได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ราชอาณาจักร
3. อธิบดีกรมการปกครอง มีอำนาจดำเนินการทั่วราชอาณาจักร
กลุ่มเป้าหมาย
บุตรของชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในราชอาณาจักร กลุ่มเป้าหมาย
บุตรของบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร เป็นเวลานาน ที่เกิดในราชอาณาจักร แต่ไม่ได้ สัญชาติไทย (เฉพาะชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ 19 กลุ่ม ไม่รวมชาวต่างด้าวอื่น ๆ )
(ปรับ ให้เป็นบุตรของบุคคลที่ได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติไว้ในอดีตจนถึงปี พ.ศ. 2542 และที่สำรวจเพิ่มเติมภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ระหว่างปี พ.ศ. 2548 - พ.ศ. 2554 เพื่อให้ครอบคลุมการแก้ไขทุกกลุ่มและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันตามคุณสมบัติด้านล่าง)
คุณสมบัติ
1. บิดาหรือมารดาเป็นชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ จะต้องได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติ มีเลขประจำตัว 13 หลัก ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรและต้องเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปี นับถึงวันที่บุตรยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทย
2. ต้องมีหลักฐานการเกิดในราชอาณาจักรไทยและทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติ
3. ต้องไม่ปรากฏหลักฐานการมีและใช้สัญชาติอื่น
4. ต้องพูดและเข้าใจภาษาไทย
5. มีความจงรักภักดีและเลื่อมใสระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
6. มีความประพฤติ ไม่มีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ไม่เคยต้องรับโทษความผิดคดีอาญาเว้นแต่ความผิดโดยประมาทหรือลหุโทษ หรือถ้าเคยรับโทษคดีอาญา ต้องพ้นโทษมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันที่ยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทย คุณสมบัติ
1. บิดาหรือมารดาเป็นบุคคลที่ได้รับการสำรวจจะต้องได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติ มีเลข จัดทำทะเบียนประวัติไว้ในอดีตจนถึงปี พ.ศ. 2542 และที่สำรวจเพิ่มเติมภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลระหว่างปีพ.ศ. 2548 - พ.ศ. 2554
2. ต้องมีหลักฐานการเกิดในราชอาณาจักรไทยและมีชื่อในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติ
3. ให้ผู้ยื่นคำขอยืนยันและรับรองคุณสมบัติของตนเอง เพื่อเร่งรัดคุ้มครองสิทธิของประชาชนให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว หากมีคุณสมบัติ ดังนี้
3.1) ต้องไม่ปรากฏหลักฐานการมีและใช้สัญชาติอื่น
3.2) ต้องพูดและเข้าใจภาษาไทยกลาง หรือภาษาถิ่นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในพื้นที่จังหวัดที่เป็นภูมิลำเนา ของผู้ขอ ยกเว้นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี คนพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ทางการสื่อสาร จิตใจ และทางพฤติกรรม
3.3) มีความจงรักภักดีและเลื่อมใสการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
3.4) มีความประพฤติดี ไม่มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ไม่เคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป หากเคยได้รับโทษดังกล่าว ต้องพ้นโทษมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันที่ยื่นคำร้อง เว้นแต่โทษในคดียาเสพติดฐานเป็นผู้ค้าหรือผู้ผลิตต้องพ้นโทษ มาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี ยกเว้นสำหรับเด็กที่มีอายุ ไม่เกิน 18 ปี
การอนุญาต
1. ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาในเขตกรุงเทพมหานคร
- อายุไม่เกิน 18 ปี ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
- อายุเกิน 18 ปี อธิบดีกรมการปกครองเป็นผู้พิจารณาอนุญาต
2. ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาจังหวัดอื่นนอกเขตกรุงเทพมหานคร
- อายุไม่เกิน 18 ปี นายอำเภอ เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
- อายุเกิน 18 ปี ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้พิจารณาอนุญาต การอนุญาต
1. ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาในเขต กทม. ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียนเป็นผู้พิจารณาอนุญาต
2. ผู้ยื่นคำขอมีภูมิลำเนาจังหวัดอื่นนอกเขต กทม. นายอำเภอเป็นผู้พิจารณาอนุญาต
3. อธิบดีกรมการปกครอง มีอำนาจดำเนินการทั่วราชอาณาจักร
*เพิ่มเงื่อนไข
หากภายหลังปรากฏว่าผู้ได้มาซึ่งสัญชาติไทยคุณสมบัติไม่เป็นไปตามลักษณะหรือหลักเกณฑ์ข้างต้น อาจถูกเพิกถอนคำสั่งทางปกครองในการให้สัญชาติไทยดังกล่าว (สามารถถอนสัญชาติไทยของบุคคลดังกล่าวได้โดยอาศัยอำนาจตามความใน มาตรา 17 และมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องพิจารณาที่ 9/2567)
การดำเนินการขอมีสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย (ออกใบสำคัญถิ่นที่อยู่)
รวมระยะเวลาการดำเนินการ 270 วัน การดำเนินการขอมีสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย (ออกใบสำคัญถิ่นที่อยู่) รวมระยะเวลาการดำเนินการ 5 วัน
การดำเนินการขอมีสัญชาติไทยของบุตรบุคคลต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักร แต่ไม่ได้สัญชาติไทย
รวมระยะเวลาการดำเนินการ 180 วัน การดำเนินการขอมีสัญชาติไทยของบุตรบุคคลต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักร แต่ไม่ได้สัญชาติไทย
รวมระยะเวลาการดำเนินการ 5 วัน
โดย สมช. แจ้งว่าหากมีการปรับแก้หลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรแล้ว จะมีการกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาใหม่เพื่อให้เร่งรัดกระบวนการดำเนินการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่ สมช. เสนอ และส่งให้กระทรวงมหาดไทยประกาศบังคับใช้ในรายละเอียดไม่น้อยกว่า 30 วันไม่เกิน 60 วัน
- 31 ต.ค.2567
- [16:42] ทั่วไป ครม. รับหลักเกณฑ์เร่งรัดแก้ปัญหาสัญชาติกว่า 4.8 แสนคน ลดขั้นตอนมอบสัญชาติ
- [16:29] ทั่วไป เร่งต่อยอดความร่วมมือภาครัฐ -เอกชน (กกร.) หาข้อสรุปขับเคลื่อนฟื้นเศรษฐกิจทุกมิติ
- [16:20] ทั่วไป จังหวัดยโสธร ร่วมกับ สถาบันปิดทองหลังพระฯ เสริมศักยภาพแหล่งน้ำขนาดเล็ก ช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 300 ครัวเรือน
- [15:29] ทั่วไป สสค.ยโสธร ร่วมประชุมคณะกรมการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และนายอำเภอ จังหวัดยโสธร ครั้งที่ 10/2567 ประจำเดือนตุลาคม 2567
- [15:07] ทั่วไป นายกฯ สั่งทุกกระทรวง บูรณการใช้มาตรการรับมือแก้ปัญหา PM2.5
- [14:52] ทั่วไป สสค.ยโสธร ร่วมประชุมคณะกรรมการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยจังหวัดยโสธร และร่วมประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดยโสธร (ศอ.ปส.จ.ยส.) ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๗
- [14:50] ทั่วไป สสค.ยโสธร รับมอบประกาศเกียรติคุณ เป็นหน่วยงาน องค์กรเข้าร่วมกิจกรรมทำบุญตักบาตร ย้อนยุควิถีถิ่น วิถีไทย ถนนคนเดินยโสธร เมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
- 30 ต.ค.2567
- [13:19] ทั่วไป ยโสธร ประชุมกรมการจังหวัด พร้อมขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลสู่ประชาชน
- [08:39] ทั่วไป สสค.ยโสธร ร่วมสังเกตการณ์การฝึกซ้อมดับเพลิงและการฝึกซ้อมอพยพหนีไฟของสถานประกอบกิจการในพื้นที่อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ประจำปี 2567...............
- [08:37] ทั่วไป สสค.ยโสธร ร่วมพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” เนื่องใน “วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” ประจำปี พ.ศ. 2567