???? สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดยโสธร ร่วมกับเทศบาลเมืองยโสธร สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดยโสธร สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดยโสธร พร้อมด้วยส่วนราชการ จัดกิจกรรมตักบาตรย้อนยุค วิถีถิ่น วิถีไทย ถนนคนเดินยโสธร เมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ณ ถนนคนเดินยโสธร เมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร โดยมี นายบรรลือ สัมฤทธิ์จินตนา ปลัดจังหวัดยโสธร เป็นประธานในกิจกรรม พร้อมด้วย นางสาววาสนา ไชยพรรณา วัฒนธรรมจังหวัดยโสธร นายรองรัตน์ จงอุตส่าห์ นายอำเภอเมืองยโสธร หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงาน พุทธศาสนิกชน ร่วมตักบาตร โดยมีพระภิกษุ/สามเณรออกรับบิณฑบาตจำนวน ๒๓ รูป มีส่วนราชการ หน่วยงาน องค์กร และพุทธศาสนิกชน ร่วมตักบาตร จำนวน ๔๖ คน รวมมีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ๖๙ รูป/คน 

       ???? โอกาสนี้ พระครูอนุรักษ์วรดิตถ์ รองเจ้าคณะจังหวัดยโสธร เจ้าอาวาสวัดสิงห์ท่า ประธานฝ่ายสงฆ์ได้กล่าวสัมโมทนียกถาแก่พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมทำบุญตักบาตรว่า ปีนี้เป็นปีที่เทวดาอยากจะได้บุญ พอถึงเทศกาลสงกรานต์ เทวดาก็ให้อากาศร้อน เพื่อให้คนเล่นน้ำ พอถึงเทศกาลบุญบั้งไฟ ก็ให้ฟ้ามืดครึ้มไม่ต้องแดด เมื่อเช้านี้ อาตมาออกรับบิณฑบาตร ฝนก็โปรยลงมาบ้าง แต่พอถึงตอนนี้ที่เราจะทำบุญตักบาตร เทวดาก็งดไม่ให้มีฝนตกมา เพราะเหล่าเทวดาก็ต้องการบุญกุศลเหมือนกัน เพราะเมื่อบุญกุศลเกิดขึ้นแล้ว เทวดานั้นเขาก็รับบุญรับกุศล เพราะเทวดาไม่มีโอกาสได้สร้างบุญสร้างกุศลด้วยตัวเอง รอรับตั้งแต่ผู้อื่นส่งไปให้ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง พระมหากัสสปะ ท่านเข้าฌานอยู่ถึงเจ็ดวัน เรียกกันว่าเข้าฌานสมาบัติ เมื่อพระอรหันต์รูปใดเข้าฌานสมาบัติก็จะนั่งอยู่อย่างนั้นตลอดเจ็ดวันไม่ลุกไปไหน และก็ไม่รับประทานอาหาร พอครบเจ็ดวันก็จะออกฌานสมาบัติทีหนึ่ง ถ้าผู้ใดได้ทำบุญตักบาตรในวันที่ท่านออกจากฌานสมาบัตินั้น เขาบอกว่า ปรารถนาได้ทรัพย์สมบัติใด ๆ ก็ได้ อยากจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ก็ได้ หรือแม้แต่ปรารถนาอยากจะเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินหรือพระมหากษัตริย์ก็ได้ ดังนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ผู้ใดได้ทำบุญตักบาตรให้พระที่ท่านได้ออกจากฌานสมาบัติ เป็นโภคสมบัติอย่างมหาศาล เทวดาตนหนึ่งอยากจะได้บุญนั้นเหมือนกันก็เลยแปลงเป็นคนเฒ่าคนแก่ยากจน สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ กะรุ่งกะริ่ง และมาดักทางที่ท่านพระมหากัสสปะออกบิณฑบาตร ท่านก็เห็นว่าสองตายายนี้แก่เฒ่าสมควรจะได้สมบัติที่ดี ก็รับอาหารบิณฑบาตร พอสองตายายเอาอาหารใส่บาตรให้แล้ว จึงได้กลิ่นของอาหาร พระมหากัสสปะก็รู้ว่าอาหารเหล่านี้ไม่ใช่ของมนุษย์ นี่ น่าจะเป็นอาหารของเหล่าเทวดา ก็เลยถามไปว่า ท่านเป็นใคร มาทำบุญตักบาตร เทวดาก็ไม่โกหก ก็บอกว่าเป็นเทวดา พระมหากัสสปะก็เลยบอกว่าท่านนี้มาแย่งมาปล้นเอาบุญของคนอื่นเขา ถ้าหากว่าท่านก็รู้ว่าใครทำบุญตักบาตร เขาปรารถนาอยากจะได้สมบัติใด ๆ เขาก็จะได้อย่างนั้น ท่านเป็นเทวดา ก็ยังมาแย่งมาปล้นเอาสมบัติของชาวโลก เทวดาก็บอกว่า การเป็นเทวดาก็ใช่ว่าจะอยู่เป็นสุขเสมอไป เทวดาที่มีบุญน้อย รัศมีก็ไม่เปล่งปลั่ง พอไปเข้ากับสมาคมเทวดาแล้วตนเองก็มีรัศมีแพ้เทวดาเหล่าอื่น ก็อยากจะได้บุญกุศล เทวดาก็เลยบอกว่า ในเมื่อหลอกทำบุญอย่างนี้จะได้บุญไหม พระมหากัสสปะ ก็บอกว่า ก็ได้อยู่ เทวดาก็เลยบอกว่า เรื่องของการทำบุญนั้นเมื่อมีโอกาสเทวดาก็จะทำบุญด้วย เพราะเทวดาก็ต้องการบุญเหมือนกัน ดังนั้น เราถึงเห็นในโอกาสต่าง ๆ เชิญเทวดามาทำบุญ มาร่วมบุญร่วมกุศลด้วย และเมื่อเราทำบุญแล้วเราก็อุทิศให้กับเทวดาเหล่านั้นด้วย เทวดาได้บุญได้กุศลแล้วก็จะปกปักรักษา คุ้มครองบุคคลผู้ให้บุญให้กุศล ดังนั้น เมื่อเราทำบุญทำกุศล เทวดาก็จะปกปักรักษาคุ้มครองเรา ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่ไม่ได้ทำบุญทำกุศล โอกาสที่เทวดาจะปกปักรักษาคุ้มครองก็น้อย  เหมือนกันกับศีลที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า ศีลเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขนานาประการ ศีลเป็นบ่อเกิดแห่งโภคทรัพย์นานาประการ ท่านจึงกล่าวยกย่องศีลว่า “สีเลนะ สุคะติง ยันติ” ศีลนั้นเป็นเหตุซึ่งนำมาซึ่งความสุข เพราะความสุขทั้งหลายจะเกิดขึ้นมาเพราะมีศีล ในครอบครัวใดมีผู้มีศีล หรือหัวหน้าครอบครัวมีศีล หรือบุคคลในครอบครัวมีศีล ครอบครัวนั้นก็จะมีอยู่อย่างเป็นสุข ไม่เดือนร้อน ของก็ไม่หาย สมบัติทรัพย์สินเงินทองก็พอกพูนมีขึ้น สำหรับครอบครัวของบุคลผู้มีศีล แต่ถ้าหากครอบครัวใดเป็นครอบครัวที่ไม่มีศีล ความทะเลาะเบาะแว้งก็เกิดขึ้น ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่อยู่กับครอบครัวของบุคคลผู้ขาดศีล ดังนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ศีลอยู่ที่ใดที่นั้นมีความสุข “สีเลนะ โภคะสัมปะทา” ถ้าครอบครัวในบุคคลใดเป็นผู้สมาทานศีลดีแล้ว โภคก็จะเกิดกับผู้นั้น ของสวย ของงาม ของดี มักจะแล่นเข้าไปหาบุคคลผู้ดี มักจะแล่นเข้าไปหาบุคคลผู้สวยงาม เสื่อผ้าที่สวยงามก็จะวิ่งเข้าไปหาบุคคลผู้สวยงาม แต่เสื้อผ้าที่สกปรกก็จะวิ่งเข้าไปหาบุคคลผู้สกปรกอย่างนั้น ทรัพย์สินเงินทองก็เช่นเดียวกัน คนใดมีศีล ทรัพย์สินเงินทองก็จะวิ่งเข้าไปหาผู้นั้น และต้องการอยู่กับผู้นั้น เมื่ออยู่แล้วก็อยู่นาน ไม่ต้องการที่จะหนีจากบุคคลผู้มีศีลไป ท่านจึงกล่าวว่า บุคคลใดเป็นผู้มีศีลแล้ว บุคคลนั้นจะมีโภค ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น สิ่งอื่น ๆ บุญกุศลอย่างอื่น คุณความดีต่าง ๆ อย่างอื่น ก็จะเข้ามาหาผู้มีศีล ท่านจึงกล่าวว่า “สีเลนะ โภคะสัมปะทา” บุคคลจะมีโภคทรัพย์ได้ก็เพราะบุคคลนั้นมีศีลเท่านั้น “สีเลนะ นิพพุติง ยันติ” ท่านบอกว่า ศีลจะนำความสุขมาให้ถึงที่สุด การที่บุคคลจะพ้นจากทุกข์ด้วยประการทั้งปวง ถึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ก็บุคคลนั้นรักษาศีลเท่านั้น ถ้าไม่มีศีล ถ้าขาดศีลแล้ว คุณธรรมเบื้องสูงก็ไม่ปรากฏแก่ผู้นั้น บุคคลใดมีศีลแล้วมีความสุขตราบจนเฒ่าชรา ก็คือเป็นอยู่ในโลกปัจจุบันนี้จนถึงแก่ ศีลก็จะเข้าไปปกปักรักษาให้ได้รับความสุขตลอดกาล แม้ดับขันธ์ไปแล้วไปจุติที่ภพภูมิที่เป็นสุขก็เพราะศีล ดังนั้น ศีลจึงเป็นสิ่งที่ดี จึงเป็นสิ่งที่เลิศ ควรปกปักรักษา สมาทานและรักษาศีล เพราะศีลนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขตามที่เราต้องการ

       ???? ในเช้าวันนี้ที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมกันบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญกุศล ทั้งการให้ทานและรักษาศีลด้วยดี ก็ขออำนาจบุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการนี้ได้ปกปักรักษา คุ้มครอง ให้ท่านทั้งหลายได้ประสบความสุขกาย สุขใจ อยู่ดีมีสุข ปราศจากทุกข์โศก โรค ภัย ปรารถนาสิ่งใด ๆ ขอให้ได้สัมฤทธิ์ผลิตผลตามที่ตนได้ปรารถนาทุกประการทุก ๆ ท่านเทอญ

       ???????? ทั้งนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมได้แต่งกายด้วยชุดผ้าไทย เพื่อเป็นการรณรงค์ สืบสานอนุรักษ์ศิลป์ ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรม ????????